กรณีหากต้องการต่อประกันรถยนต์ โดยส่วนใหญ่เลือกทำเพื่อตัวคุณเอง รถยนต์ของคุณ และบุคคลภายนอก ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงทางด้านการเงินหากเกิดอุบัติเหตุรุนแรงขึ้นนั่นเอง แต่หลายคนคงสงสัยกันเหลือเกินว่า เหตุใดอัตราเบี้ยประกันภัยรถยนต์ของคุณกับคนอื่นจึงไม่เท่ากัน โดยมีปัจจัยดังต่อไปนี้
หลักการกำหนดอัตราเบี้ยประกันภัยรถยนต์เมื่อต่อประกันรถยนต์
ปัจจัยในการกำหนดอัตราเบี้ยประกันภัยที่ใช้กันอยู่ทั่วไป ได้แก่
- สภาพของรถยนต์ (Age Group)
สภาพของรถยนต์มีลักษณะอย่างไร เป็นรถเก่าหรือรถใหม่ รุ่นปี ของรถลักษณะเครื่องและตัวถัง หากยิ่งรถที่มีสภาพดีอัตราเบี้ยประกันก็จะตํ่าลง
- ชนิดการใช้รถยนต์ (Use)
รถที่นำมาใช้เป็นรถประเภทไหน เช่น รถบรรทุกส่วนบุคคล รถบรรทุกสาธารณะ รถยนต์นั่งส่วนบุคคล รถโดยสารป้ายดำ รถยนต์สาธารณะ โอกาสจะเกิดความเสียหายมีมากกว่ารถนั่งส่วนบุคคล ซึ่งจะมีอัตราเบี้ยประกันที่จะสูงขึ้น
- ขอบเขตของการใช้รถยนต์ (Territory)
อณาเขตของการใช้รถยนต์ถ้าต้องการใช้ที่นอกเหนือจากอาณาเขตที่กำหนดไว้ อัตราเบี้ยประกันจะสูงขึ้น เช่น การใช้รถยนต์ข้ามเขตไปต่างประเทศ เช่น มาเลเซีย สิงคโปร์ เป็นต้น หรือใช้ระยะใกล้ๆหรือใช้ระยะไกล ยิ่งระยะทางไกลความเสี่ยงก็ยิ่งมีมากขึ้น
- น้ำหนักบรรทุก (Weight)
สำหรับทางตรงข้ามในการคิดเบี้ยประกันจะขึ้นอยู่กับประเทศของรถยนต์ที่ใช้ เช่น รถยนต์ส่วนบุคคลคิดค่าเบี้ยประกันตามแรงม้าของเครื่องยนต์ C.C. ถ้าเป็นรถบรรทุกจะคิดตามน้ำหนักที่บรรทุกเป็นเกณฑ์
- ทุนประกัน (Sum Insured)
รถยนต์จะมีจำนวนมากน้อยเท่าใดขึ้นอยู่กับชนิดและรุ่นของรถนั้นๆ ราคาที่ประกันจะไม่เกินราคาที่แท้จริงของรถยนต์นั้น
- ผู้ขับขี่
ผู้ขับขี่รถยนต์ประเภทนั้นๆ ซึ่งเกี่ยวกับ – เพศของผู้ขับขี่
– อายุ
– อาชีพ
– สถานะทางครอบครัว เช่น โสด มีบุตร บุตรกี่คน
– อายุใบอนุญาตขับขี่
– ประวัติการใช้รถของผู้ขับขี่ เช่น เคยเกิดอุบัติเหตุหรือไม่ และร้ายแรงหรือเปล่า
– สุขภาพร่างกาย โดยเฉพาะ สมอง ตา หู
- ประเภทของภัยที่คุ้มครอง
เป็นอัตราเบี้ยประกันจะขึ้นตามจำนวนภัยที่ต้องการให้ความคุ้มครองเพิ่มเติม
- ปัจจัยอื่นๆ
การเก็บรักษารถยนต์ , สถานที่เก็บรักษารถยนต์ , ภัยทางด้านจิตใจของผู้ขับขี่ เป็นต้น
ทั้งหมดที่กล่าวมานี้ ถือเป็นปัจจัยที่ส่งผลต่อราคาเมื่อมีการต่อประกันรถยนต์ของคุณ และทำให้ในแต่ละเคสของการประกันภัยรถยนต์มีอัตราเบี้ยประกันภัยไม่เท่ากันนั่นเอง